Wednesday, November 4, 2009

20 คุณลักษณ์สู่ชีวิตแห่งความสำเร็จ

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
11. ตั้งจิตมั่น ขอให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งซึ่งคุณหมายมุ่งที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ และจงใส่ใจต่อทุกคนที่คุณเสวนาด้วยอย่างสุดจิตสุดใจ
12. มารยาทงาม จงแสดงออกถึงมารยาทที่ดี แม้ผู้คนรอบข้างคุณอาจจะไม่ทำเช่นนั้นก็ตาม

13. ความสุภาพอ่อนน้อม ในชีวิตเราความอ่อนน้อมที่เป็นเสน่ห์กับความเคารพนับถือนั้นมีมาเนิ่นนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นเหมือนโรคติดต่อ คือเมื่อมีคนเห็นการปฏิบัติของคุณ พวกเขาก็จะหันมาแสดงความสุภาพอ่อนน้อมเองโดยไม่ต้องบอก จงแสดงความเมตตาต่อผู้อื่น และมอบความมีมารยาทแก่พวกเขา อย่าขัดจังหวะใครในขณะที่พวกเขาพูด และอย่าครอบงำการสนทนาของใคร

14. ปัญญาญาณ จงสร้างสิ่งดีๆจากปัญญาญาณในตัวคุณ รู้จักทำความเข้าใจกับคุณลักษณ์ด้านในของเพื่อนมนุษย์ และเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่อาจจะแตกต่างไปจากสิ่งที่เราคุ้นเคย

15. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา ความอ่อนโยน และความเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สมควรจะได้รับสิ่งเหล่านี้ จงเรียนรู้ที่จะยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้ช่วยเหลืออะไรคุณเลยก็ตาม

16. ความเห็นอกเห็นใจ จงตระหนักว่า ผู้คนแต่ละคนล้วนมีความแตกต่าง และอาจมีค่านิยม และความเชื่อที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่ตัวคุณยึดถือ จงทำความเข้าใจกับความรู้สึกและความคิดคำนึงของผู้อื่นโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องบอกหรือย้ำเตือนเรา

17.เอาใจเขามาใส่ใจเรา จงร่วมแบ่งปันความรู้สึกของผู้อื่น และทำความเข้าใจกับห้วงอารมณ์ที่ใครคนนั้นต้องเผชิญ คือจงเอาใจเขามาใส่ใจเรา

18. ความกรุณา เมื่อมีคนตกอยู่ในห้วงทุกข์ จงยื่นมือออกไปช่วยให้ทุกข์ของพวกเขาบรรเทาเบาคลาย ด้วยความสนอกสนใจอย่างแท้จริง

19. ถือประโยชน์ท่านเป็นที่ตั้ง จงนึกถึงผู้อื่นก่อนนึกถึงตนเองเสมอ ปฏิบัติสิ่งดีๆต่อผู้อื่นโดยไม่คาดหวังว่าจะต้องได้รับอะไรตอบแทน
20. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จงใช้ชีวิตอย่างคนมีน้ำใจ คือรู้จักการให้ ไม่ว่าจะเป็น เวลา เงินทอง หรือสติปัญญา และรู้จักแบ่งปันสิ่งต่างๆกับผู้อื่น จนพวกเขาสามารถสัมผัสถึงความเบิกบานใจและประจักษ์ถึงการเผชิญชีวิตอย่างแท้จริงด้วยตัวของเขาเอง

นี่คือคุณลักษณ์ที่ผมคิดว่าจะช่วยนำพาใครคนหนึ่งไปสู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้ ถ้าจะกล่าวกันจริงๆแนวความคิดของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามวิถีที่ควรจะเป็น สำหรับคุณล่ะ อะไรคือคุณลักษณ์ที่คุณใช้สำหรับนิยามชีวิตที่ประสบความสำเร็จ

บุหงาหิมาลัย
แปลจาก “20 Qualities for a Successful Life”โดย David B. Bohl
เผยแพร่ใน http://www.dumblittleman.com/2008/01/20-qualities-for%20-%20successful%20-life.html
สงวนลิขสิทธิ์ในการทำซ้ำเพื่อจุดมุ่งหมายทางธุรกิจ

คุณประโยชน์ 10 ประการของการอ่าน

  1. การอ่านเป็นกระบวนการทางจิตใจที่ทรงพลัง การอ่านต่างจากการนั่งอยู่หน้ากล่องสี่เหลี่ยมเบาปัญญา(ทีวี ) เพราะการอ่านทำให้คุณได้ใช้สมอง ระหว่างที่อ่านหนังสือคุณจะถูกผลักดันให้ค้นหาเหตุผลให้กับสรรพสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคย ภายใต้กระบวนการนี้คุณจะต้องใช้กลุ่มเซลล์สีเทาในสมองในการใช้ความคิดซึ่งจะช่วยให้คุณเพิ่มพูนสติปัญญา
  2. การอ่านช่วยให้คุณพัฒนาวงคำศัพท์ ยังจำได้ไหมในตอนเรียนชั้นประถม ตอนที่คุณเรียนรู้การเชื่อมโยงความหมายของศัพท์แต่ละคำโดยการอ่านบริบทของศัพท์อื่นๆในประโยคเดิม คุณก็จะได้ประโยชน์เช่นเดียวกันจากการอ่านหนังสือ ระหว่างอ่านหนังสือ โดยเฉพาะเล่มที่มีความท้าทาย คุณจะพบว่าคุณมีโอกาสได้เรียนรู้กับศัพท์ใหม่ๆจำนวนมากซึ่งไม่อาจพบได้จากวิธีอื่น
  3. การอ่านช่วยให้คุณมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสกับวัฒนธรรมและอาณาบริเวณอื่นๆในโลก คุณจะรู้จักชีวิตของผู้คนในเม็กซิโกได้อย่างไร ถ้าคุณไม่ได้อ่านเรื่องราวของเขาเหล่านั้น การอ่านช่วยให้คุณเกิดความเข้าใจในความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตของพวกเขา ฯลฯ คุณจะมีความตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความแตกต่างของภูมิประเทศต่างๆและวิถีปฏิบัติของผู้คนในพื้นที่เหล่านั้น
  4. การอ่านช่วยพัฒนาการสร้างสมาธิและรวมศูนย์ความคิด ในการอ่านอย่างต่อเนื่องนานๆ เราจำเป็นต้องพุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เราอ่าน การอ่านหนังสือต่างจากการอ่านข้อความในนิตยสารหรือข้อความสั้นๆหรือจดหมายอิเล็กทรอนิคในอินเทอร์เน็ทซึ่งมักจะมีข้อมูลที่มีขนาดเล็ก แต่หนังสือจะบอกเรื่องราวแก่คุณ เนื่องจากคุณต้องรวบรวมสมาธิในการอ่าน ซึ่งก็เหมือนๆกับการใช้กล้ามเนื้อนั่นเอง คือคุณจะมีสมาธิที่ดีขึ้น
  5. การอ่านเป็นการสร้างคุณค่าให้ตนเอง ยิ่งอ่านมากคุณก็ยิ่งมีความรู้ เมื่อมีความรู้มากขึ้น คุณก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ความมั่นใจในตัวเองที่เพิ่มพูนขึ้น ก็สร้างคุณค่าของตนเองให้แก่คุณ นี่คือปฏิกิริยาลูกโซ่ เนื่องจากคุณอ่านหนังสือได้ดี ผู้คนก็จะคอยถามหาคำตอบจากคุณ ความรู้สึกที่คุณมีต่อตนเองก็ย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน
  6. การอ่านช่วยให้ความจำดีขึ้น มีการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าคุณไม่ใช้ความจำที่มีอยู่ คุณก็จะสูญเสียมันไป การเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้เป็นตัวอย่างหนึ่งของเกมการเล่นกับถ้อยคำที่ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แม้การอ่านจะไม่ใช่เกมแต่มันก็สามารถช่วยให้คุณได้บริหารกล้ามเนื้อสมองได้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน การอ่านทำให้เราต้องจดจำรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งข้อเท็จจริง และค่าตัวเลขต่างๆ และในการอ่านวรรณกรรม เราก็ต้องจดจำ เค้าโครงเรื่อง เนื้อหาสาระหลักตลอดจนตัวละครต่างๆ
  7. การอ่านช่วยให้คุณมีระเบียบวินัยมากขึ้น การจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่เราทุกคนรู้ว่าเราควรทำ แต่ใครล่ะจะจัดตารางเวลาเพื่อการอ่านไว้ทุกวัน น้อยมาก...นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการเพิ่มการอ่านหนังสือเข้ามาในตารางกิจกรรมประจำวัน และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจึงสามารถเสริมสร้างระเบียบวินัยได้
  8. การอ่านช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การอ่านเรื่องราวของความหลากหลายแห่งชีวิต และการเข้าไปสัมผัสกับแนวคิดใหม่ๆและข้อมูลที่เพิ่มพูนขึ้นจะช่วยให้คุณได้พัฒนาสมองซีกที่ดูแลเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะไปช่วยจุดประกายแห่งการสร้างนวตกรรมขึ้นในกระบวนการใช้ความคิดของคุณ
  9. การอ่านช่วยให้คุณจะมีอะไรบางอย่างไว้พูดถึงเสมอ เคยบ้างไหมที่รู้สึกว่าตัวเองมีความรู้สึกอึดอัดที่ไม่รู้จะพูดคุยเรื่องอะไร เคยรู้สึกเกลียดตัวเองไหมที่ทำให้ตัวเองเสียหน้า คุณต้องการแก้ไขปัญหาแบบนี้ไหม ไม่ยากเลย เพียงคุณเริ่มอ่านหนังสือเท่านั้น การอ่านจะช่วยขยายอาณาบริเวณแห่งข้อมูลของคุณ คุณจะมีอะไรให้พูดถึงเสมอ เช่น คุณสามารถจะพูดคุยถึงโครงเรื่องในนวนิยายหลายเล่มที่คุณอ่าน คุณสามารถอภิปรายถึงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้จากหนังสือด้านธุรกิจต่างๆที่คุณกำลังอ่านอยู่ ความเป็นไปได้ในการแบ่งปันเรื่องราวกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีขีดจำกัดอีกต่อไป
  10. การอ่านช่วยบรรเทาความเบื่อหน่าย กฏข้อหนึ่งในหลายข้อที่ผมถือก็คือ ถ้าเริ่มรู้สึกเบื่อ ผมจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน สิ่งที่ผมค้นพบจากการจริงจังกับกฏข้อนี้ก็คือ ผมจะเกิดความสนใจในเรื่องราวของหนังสือแล้วหลุดจากความรู้สึกเบื่อหน่ายไปเลย ผมหมายถึงว่า ถ้าคุณเกิดรู้สึกเบื่อขึ้นมาบ้าง คุณก็คงจะหันมาอ่านหนังสือเหมือนกัน ใช่ไหม

“บุหงาหิมาลัย” แปลจาก“Ten Benefits of Reading” โดย Divya
เผยแพร่ใน www.inewsindia.com
สงวนลิขสิทธิ์ในการทำซ้ำเพื่อจุดมุ่งหมายทางธุรกิจ

Thursday, October 15, 2009

20 คุณลักษณ์สู่ชีวิตแห่งความสำเร็จ

คุณมีนิยามของความสำเร็จว่าอย่างไร เงิน หรือสิ่งที่คุณครอบครอง หรือว่ามรดกที่คุณทิ้งไว้ภายหลัง ส่วนมากแล้วเราจะให้ความหมายของชีวิตที่ประสบความสำเร็จว่าเป็นสิ่งเดียวกับการครอบครองด้านวัตถุ แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนอีกนับล้านซึ่งมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จครบพร้อม ด้วยวิถีทางที่สมถะเรียบง่าย เขาเหล่านั้นอาจไม่ร่ำรวยในด้านทรัพย์สินเงินทอง แต่ทว่ามีชีวิตที่ร่ำรวยเต็มไปด้วยคุณค่า

แล้วอะไรล่ะคือสิ่งที่เราควรทุ่มเทเพื่อสรรค์สร้างชีวิตแห่งความสำเร็จ และส่งผลกระทบเชิงสร้างสรรค์ต่อผู้คนรอบข้าง ต่อไปนี้คือรายการคุณลักษณ์ทั้งหลายที่ผมคิดว่าคือนิยามของความสำเร็จที่แท้แห่งชีวิต รายการของคุณล่ะมีอะไรที่ต่างกับของผมไหม

  1. ความจริงใจ จงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความจริงใจ อย่าพยายามเสแสร้งเพื่อทำให้ผู้คนประทับใจ จงเป็นตัวของตัวเอง ทำสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้องบนพื้นฐานของค่านิยมและความเชื่อของคุณ คุณจะแปลกใจที่เห็นว่าคุณเป็นที่ยอมรับเมื่อคุณหยุดความพยามยามที่จะเป็นใครคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ตัวคุณ
  2. ไม่เสแสร้ง จงกระทำทุกสิ่งอย่างจริงแท้ การกระทำของคุณส่งผลใหญ่หลวงกว่าถ้อยคำที่คุณกล่าวมากมายนัก อย่าบิดเบือนหรือระบายสีสิ่งที่ได้เกิดขึ้น อย่าพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
  3. ให้หมดใจ จงกระตือรือร้นต่อสิ่งที่คุณทำ ทำให้คนเห็น จงอุทิศตนให้กับชีวิตและทุกสิ่งที่คุณอยากจะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ จงเสียสละเพื่อครอบครัว มิตรสหายและชุมชนของคุณ และตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็น พ่อ แม่ สามี ภรรยา เพื่อน และเพื่อนบ้านที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้
  4. ความซื่อสัตย์ จงซื่อสัตย์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เมื่อมีใครเข้ามาติดต่อกับคุณ ขอให้เขาได้พบกับใครคนหนึ่งซึ่งไม่มัวหมอง น่านับถือ และยึดถือความจริง จงทำสิ่งที่คุณพูดว่าจะทำ และจงอย่าใช้ความฉ้อฉล ลวงหลอก เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้ชีวิตของคุณ ขอให้ใช้คุณธรรม จริยธรรม และ เกียรติภูมิ เป็นเข็มทิศนำทางชีวิต
  5. จากใจถึงใจ เมื่อคุณทำอะไรให้ใคร หรือเมื่อมีใครทำอะไรให้คุณ จงแสดงออกถึงความซาบซึ้งใจ และอารมณ์ความรู้สึกของคุณที่มีต่อพวกเขาอย่างเปิดเผยและชัดเจนไม่อ้อมค้อม
  6. ความอบอุ่นใจ จงเป็นคนที่แสดงให้คนรอบข้างเห็นถึงความเป็นคนที่มีบุคลิกอบอุ่น สัตย์ซื่อ และมีจิตใจงาม จงเปิดเผยความรู้สึกของคุณ และแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมาอย่างจริงใจ
  7. ความอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าใช้ชีวิตโดยคิดว่าคุณมีอะไรดีกว่าคนอื่น หรือคุณอยู่ในระดับที่เหนือกว่าผู้คนรอบข้าง ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความไม่โอ่อวดจะส่งผลต่อผู้คนอย่างมีน้ำหนักและยั่งยืนมากกว่าการพยายามแสดงอาการโอ่อวดอย่างออกนอกหน้า
  8. สุจริตธรรมแห่งตน จงน้อมนำทำตามค่านิยมประจำใจของคุณ และจงอย่าปล่อยให้สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง หรือใครคนใดคนหนึ่งมาทำให้คุณเฉไฉไปจากการกระทำที่คุณรู้ว่าถูกต้อง จงเป็นคนที่ผู้คนให้ความนับถือ และอย่าเป็นคนที่ขายค่านิยมทางคุณธรรมเพื่อแลกกับความพอกพูนด้านวัตถุ
  9. ศรัทธาที่คงมั่น จงทำให้ผู้คนประจักษ์ชัดถึงจุดยืนหรือศรัทธาที่คงมั่นต่อสิ่งที่คุณยึดถือ และรับรู้ว่า คุณธรรม ค่านิยม และการกระทำของคุณนั้นไม่ใช่เพื่อสร้างจุดขาย อย่ายอมให้สิ่งบีบคั้นจากภายนอกทำให้ตัวตนของคุณล่มสลาย
  10. ความเที่ยงธรรม จงแสดงออกถึงการตัดสินใจที่ถูกตรงและการมีความเข้าใจชีวิตอันชอบ อย่าปล่อยให้อคติหรืออารมณ์ความรู้สึกมาบดบังความเที่ยงธรรมของคุณ

(ยังมีต่อ)


แปลจาก “20 Qualities for a Successful Life” โดโดย David B. Bohl
เผยแพร่ใน http://www.dumblittleman.com/2008/01/20-qualities-for-successful-life.html

บุหงาหิมาลัย
สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการผลิตซ้ำเพื่อจุดมุ่งหมายทางธุรกิจ

Monday, October 12, 2009

อุปนิสัยไม่สร้างสรรค์ 10 ประการที่ส่งผลเสียใหญ่หลวงต่อสมอง

ในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงวันที่เราจากโลกนี้ไป อวัยวะสำคัญที่ดูแลชีวิตเราให้เป็นปกติสุขก็คือสมองของเรานี่เอง ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่งคือ..เราควรดูแลสมองของเราให้ดี โดยไม่ปล่อยให้อุปนิสัยไม่สร้างสรรค์ที่จะเป็นสาเหตุของความเสียหายที่จะเกิดต่อสมองต่อไปนี้ กลายมาเป็นสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติเป็นประจำ

อุปนิสัยไม่สร้างสรรค์ 10 ประการที่ส่งผลเสียใหญ่หลวงต่อสมอง

  1. ไม่รับประทานอาหารเช้า คนที่ไม่รับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้มีสารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
  2. รับประทานอาหารมากเกินไป การรับประทานอาหารมากเกินไปทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองแข็งตัว ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้สมองถดถอย
  3. สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ก่อให้เกิดสภาวะหดตัวของเนื้อเยื่อสมอง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคอัลไซม์เมอร์ได้
  4. บริโภคน้ำตาลมากเกินไป การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป จะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมโปรตีนและสารอาหารต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภาวะทุโภชนาการอันจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการทำงานของสมองได้
  5. สูดอากาศที่มีมลภาวะ สมองของเราเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจนมากที่สุด การที่เราสูดอากาศที่มีมลพิษเข้าไปจะทำให้ปริมาณออกซิเจนที่สมองควรได้รับลดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาในการทำงานของสมอง
  6. นอนน้อย การนอนหลับช่วยให้สมองได้พักผ่อน การอดหลับอดนอนเป็นเวลานานๆต่อเนื่องกันจะเป็นตัวเร่งอายุขัยของเซลล์สมอง
  7. นอนคลุมโปง การนอนโดยมีวัสดุใดๆปิดคลุมบริเวณศีรษะจะเป็นการเพิ่มความหนาแน่นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะเดียวกันก็จะไปลดความหนาแน่นของก๊าซออกซิเจนซึ่งจะส่งผลเสียต่อการทำงานของสมอง
  8. ใช้สมองอย่างหนัก การใช้สมองอย่างหนักหรือทุ่มเทเรื่องการเรียนในระหว่างที่เจ็บป่วยจะก่อให้เกิดการบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง และยังเป็นการทำลายสุขภาพของสมองอีกด้วย
  9. ขาดการกระตุ้นสมองให้คิด การใช้ความคิดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกการทำงานของสมอง การขาดการกระตุ้นสมองให้ใช้ความคิดอาจส่งผลให้เกิดสภาวะหดตัวของเนื้อเยื่อสมองได้
  10. ทำงานกับหัวหน้างานที่ขาดความเมตตา ขอให้ดูแลตัวเองให้ดีถ้าคุณต้องทำงานกับหัวหน้างานที่ขาดความเมตตา เพราะการทำงานภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นจะทำให้สมองคุณอ่อนล้าและขาดประสิทธิภาพ

เนื่องจากบทความนี้เกี่ยวข้องกับสมองจึงขอนำข้อคิดคำคมเกี่ยวกับสมองมาฝากท่านผู้อ่านดังนี้ค่ะ

“The more you use your brain, the more brain you will have to use.
ยิ่งคุณใช้สมองของคุณมากเท่าใด คุณก็มีสมองไว้ใช้มากขึ้นเท่านั้น
George Dorsey

ส่วนที่เป็นบทความแปลจาก “10 Biggest Brain Damage Habits” ในhttp://www.scribd.com/doc/7157317/10-Biggest-Brain-Damaging-Habits

สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการทำซ้าเพื่อจุดมุ่งหมายทางธุรกิจ

Sunday, October 11, 2009

15 เคล็ดลับเพื่อรักษาใจให้งดงามท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นลบ

บ่อยครั้งที่เราจำเป็นต้องเผชิญกับสถานการณ์ด้านลบแต่ต้องรักษาใจให้เป็นบวก เราอาจมีแนวโน้มที่จะตอบโต้ด้วยท่าทีที่เป็นลบ ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลดีให้เราแม้แต่น้อย ยิ่งไปทำอย่างนั้นเข้ายิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ผู้คนอาจจะทำเรื่องที่ร้ายยิ่งขึ้นไปอีกต่อเรา ชีวิตในแต่ละวันของเราก็จะเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง ท้ายที่สุดก็จะมีแต่ผู้พ่ายแพ้

แม้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่การครองใจให้ไม่มัวหมองท่ามกลางสถานการณ์ที่หมองมัวชั่วร้ายก็ยังถือเป็นเรื่องสำคัญ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับ 15 ประการในการปฏิบัติดังกล่าว ขอให้เลือกข้อที่ใช่สำหรับคุณ

  1. อย่าตอบโต้ใครในภาวะที่คุณไม่ได้อยู่ในความสงบ ถ้าไม่แน่ใจว่าคุณจะนิ่งพอ อย่าตอบโต้เป็นอันขาด ขอให้ใช้เวลาในการทำใจของคุณให้สงบเป็นสิ่งแรก
  2. ขั้นตอนแรกในการทำใจให้สงบ คือการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
  3. กล่าวถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์
  4. ระลึกไว้เสมอว่าคุณสามารถพบกับโอกาสที่ดีๆได้แม้ในสถานการณ์ที่เป็นลบ Albert Einstein กล่าวว่า“ท่ามกลางความยุ่งยากใดๆ สิ่งที่รออยู่คือโอกาสของคุณ”
  5. ลองพิจารณาสาระของสิ่งที่ผู้คนกล่าวกับเราเพื่อค้นหาส่วนที่สร้างสรรค์ซึ่งคุณสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนเอง
  6. สำหรับสาระที่ไม่สร้างสรรค์ที่เหลือ ก็ไม่ต้องไปสนใจ จงอย่าทำเพียงแค่ปฏิเสธสาระทั้งหมดที่ได้รับ
  7. รักษาความรู้สึกด้านบวกต่อผู้คนเอาไว้ คุณอาจไม่ชอบใจสิ่งที่เขาพูดหรือพฤติกรรมบางอย่างของเขา แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะเกลียดชังเขาได้
  8. ระลึกไว้เสมอว่าการเก็บความรู้สึกด้านลบเอาไว้ จะทำร้ายแต่ตัวคุณเท่านั้น ไม่ใช่พวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมีความรู้สึกลบๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม
  9. หากคุณทำอะไรผิดพลาด จงเปิดใจยอมรับมัน
  10. หากคุณได้ทำอะไรที่ผิดพลาด จงจำข้อคิดของ George Bernard Shaw ที่ว่า “การใช้ชีวิตที่ก่อให้เกิดข้อผิดพลาด ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติยิ่งกว่า หากแต่ยังก่อประโยชน์มากกว่าการใช้ชีวิตที่ไม่ได้ทำอะไรกับเขาเลย”
  11. ถ้าทำได้ ขอให้รับฟังเสียงจากรายการที่สร้างแรงจูงใจเพื่อป้อนความคิดด้านบวกแก่จิตใจของคุณ
  12. พูดคุยกับเพื่อนที่มีธรรมชาติสร้างสรรค์ เพื่อก่อให้เกิดกำลังใจ
  13. จดจำข้อคิดคำคมที่คุณชื่นชอบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจ นี่คือเหตุผลหนึ่งสำหรับคำแนะนำให้คุณมีข้อคิดคำคมประจำวัน
  14. พิจารณาว่าสถานการณ์ด้านลบนั้นคือช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนในชีวิตจริง ยิ่งเราพาชีวิตไต่สู่ที่สูงมากแค่ไหน สถานการณ์ด้านลบก็จะมีมากขึ้นเพียงนั้น ดังนั้นคุณจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมเข้าไว้
  15. ระลึกไว้เสมอว่าเราไม่สามารถทำตัวให้เป็นที่พอใจของทุกๆคนได้ และในความเป็นจริงไม่มีใครทำได้ บางครั้งคุณก็จำเป็นต้องปล่อยใครบางคนไปตามเส้นทางของเขา การตระหนักเช่นนี้จะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากภาระทางใจที่ไม่เป็นสาระมากมาย ทำให้คุณสามารถที่จะให้ความสนใจกับคนที่คุณสามารถเสวนาด้วยอย่างสร้างสรรค์

บุหงาหิมาลัย แปลและเรียบเรียงจาก บทความเรื่อง 15 Tips to Stay Positive in Negative Situations โดย Donald Latumahina

เผยแพร่ใน http://www.lifeoptimizer.org/2007/09/10/15-tips-to-stay-positive-in-negative-situations/

สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการทำซ้ำเพื่อเป้าหมายทางธุรกิจ

Wednesday, August 12, 2009

Above All

บทเพลง เพลงหนึ่ง ซึ่งทั้งความหมายและท่วงทำนองเพลงนั้นสามารถให้คุณค่ามากมายแก่ผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นสุนทรียภาพอันงดงาม ความหมายที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และอารมณ์ที่ลึกซึ้งกินใจ และในบทความนี้ ขอยกตัวเพลง Above All ซึ่งเป็นบทเพลงที่ผู้เขียนชื่นชอบมาก และได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบล๊อกด้วย

เพลง Above All
Songwriter: Paul Baloche and Lenny Leblanc

Above all powers, above all kings
Above all nature and all created things
Above all wisdom and all the ways of man
You were here before the world began

Above all kingdoms, above all thrones
Above all wonders the world has ever known
Above all wealth and treasures of the earth
There's no way to measure what you're worth

Crucified, laid behind a stone
You lived to die, rejected and alone
Like a rose, trampled on the ground
You took the fall and thought of me
Above all



ผมรู้จักเพลงนี้เพราะตนเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับร้องเพลงประสานเสียงกับคณะนักขับร้องอาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพ และหัวหน้าวงก็ได้นำบทเพลงนี้มาสอนให้กับพวกเราร้อง โดยในครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้นั้น ถึงกับมีความรู้สึกว่า "เพลงนี้เพราะมาก และกินใจมาก" ฟังแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที พอกลับถึงบ้านจึงได้รีบเข้ามาค้นหาเพลงใน youtube เพื่อฟัง และได้ลองนั่งอ่านเนื้อเพลงอย่างตั้งใจ จึงได้ประจักษ์ว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงได้รู้สึกถึงความไพเราะในบทเพลงนี้ได้มากมายนัก หากท่านผู้อ่านได้ลองย้อนกลับไปอ่านเนื้อเพลงข้างต้นอีกสักครั้ง อาจจะเข้าใจสิ่งที่จะเขียนต่อไปจากนี้ได้ดียิ่งขึ้นนะครับ สาเหตุก้คือ เนื้อเพลงเพลงนี้นั้น เน้นสอนให้คนรู้ถึงประโยคที่ว่า "ไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่เหนือความรักอันบริสุทธิ์ได้" ซึ่งในบทเพลงนี้เน้นถึง ความรักของพระเยซูที่มีให้กับชาวโลก ว่าพระองค์ได้เสียสละชีวิตเพื่อทุกคน ยกบาปของทุกคนมาไว้ที่พระองค์เป็นผู้แบกรับเอง แต่ผมกลับคิดไปเพิ่มนอกเหนือจากเรื่องของศาสนาคริสต์นะครับ เลยยิ่งทำให้บทเพลงนี้ประทับใจผมมากยิ่งขึ้น เพราะในเรื่องของอำนาจ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ความรู้ สติปัญญา นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ใคร่มี และมักจะหวงแหนไว้กับตนเอง และยึดติดในสิ่งเหล่านี้มากจนเกินไป จนเกิดเป็นความเห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกัน จนกลายเป็นปัญหาวุ่นวายไปทั่วโลก แต่ทุกคนลืมนึกถึงคำว่า "ความรัก" ซึ่งความรักในความหมายของผมวึ่งได้จากบทเพลงนี้คือ ความรักบริสุทธิ์ที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นความเสียสละ ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การรู้กให้ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน สิ่งเหล่านี้หากทุกคนมีอยู่ในจิตใจ จะมีค่ามากกว่าสิ่งนอกกายทั้งหลายที่ทุกคนมักจะไปไขว่คว้าและยึดติดไว้อยู่ หากวางลงซะบ้างทุกคนก็จะได้เจอกับความสุขที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น และหากทุกคนมีความรักบริสุทธิ์ที่คอยมอบให้แก่เพื่อนร่วมโลก และโลกใบนี้ในทุก ๆ วันแล้วล่ะก็ โลกของเราคงไม่ต้องเผชิญกับปัญหาและเรื่องวุ่นวายดังเช่นทุกวันนี้หรอก จริงมั้ยครับ

ตอนนี้ คงรู้แล้วใช่ไหมล่ะครับ ว่าทำไมผมถึงชอบบทเพลงนี้มาก และบทเพลงนี้ให้คุรค่ากับผมมากเพียงไหน และหวังว่าผู้อ่านทุกคนจะได้รับดังเช่นที่ผมได้นะครับผม